แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคใกล้ตัว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคใกล้ตัว แสดงบทความทั้งหมด

รู้จัก โรคกล้ามเนื้อเสื่อมพันธุกรรมในเด็ก (ดูเชน)




หนึ่งในโรคที่เป็นโรคหายากในเด็กมาฝาก นั่นคือ “โรคกล้ามเนื้อเสื่อมพันธุกรรมในเด็ก (ดูเชน)” ซึ่งเป็นโรคที่สามารถพบได้ในเด็กวัยที่โตแล้ว สามารถเดินได้เองแล้ว แต่ด้วยความผิดปกติจากหลายปัจจัยทำให้เด็กประสบปัญหาในการเดิน การใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ฉะนั้น มาทำความรู้จักโรคนี้กันดีกว่า  

โรคกล้ามเนื้อเสื่อมพันธุกรรมในเด็ก หรือ ดูเชน เกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัยหลักสำคัญ ได้แก่  

1) ปัจจัยจากพันธุกรรม ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมของยีนที่ชื่อ ดิสโทรฟิน

2) เกิดขึ้นจากการมีประวัติของคนในครอบครัว ซึ่งบางครอบครัวอาจเคยมีคนเป็นโรคนี้มาก่อน และอาจมีผู้หญิงอีกหลายคนในครอบครัวมียีนแฝงด้วย

3) เกิดจากปัจจัยเกี่ยวกับยีนแฝง ในบางครอบครัวอาจพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้รายแรก ซึ่งก็มีโอกาสที่จะพบมารดาที่มียีนแฝงได้มากถึงร้อยละ 70  

โรคกล้ามเนื้อเสื่อมพันธุกรรมในเด็ก มีลักษณะการแสดงอาการ ดังนี้  

1) มักพบการแสดงอาการของโรคนี้ได้ในเด็กผู้ชาย

2) เริ่มมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ต้นขา เมื่ออายุได้ 3-4 ปี ซึ่งเด็กจะไม่ค่อยวิ่งหรือวิ่งขาปัด จากที่เมื่อก่อนเคยวิ่งเล่นได้

3) เมื่ออายุได้ 4-5 ปี เด็กจะเดินล้มบ่อย

4) เวลานั่งกับพื้น เด็กจะลุกขึ้นเองได้ลำบาก ต้องใช้มือดันตัวขึ้น บางครั้งต้องใช้การเกาะเก้าอี้หรือเกาะยึดโต๊ะ จึงจะลุกขึ้นได้

5) เด็กจะมีอาการน่องโต เดินปลายเท้าเขย่ง รวมถึงมีอาการหลังแอ่น

6) เมื่อเด็กอายุได้ 8-9 ปี กล้ามเนื้อจะอ่อนแรงมากขึ้น จนลุกเองไม่ได้ และเดินไม่ไหว ต้องนั่งเก้าอี้รถเข็น

7) พบว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ

8) โรคนี้รุนแรงมาก และแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออายุประมาณ 10-20 ปี เด็กมักจะนั่งไม่ไหว และมักเสียชีวิตเมื่ออายุประมาณ 18-25 ปี

ผู้หญิงในครอบครัวควรทำอย่างไร  

ผู้หญิงไม่แสดงอาการของโรคนี้ แต่อาจมียีนแฝง ซึ่งส่งยีนต่อให้ลูกได้ ทำให้ในแต่ละท้อง ลูกชายมีโอกาสเป็นโรค 50% โอกาสไม่เป็นโรค 50% ส่วนลูกสาวจะไม่เป็นโรค แต่อาจมีหรือไม่มียีนแฝงได้ และยังแนะนำว่าควรพบแพทย์ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อตรวจว่ามียีนแฝง (พาหะ) หรือไม่รวมถึงควรวางแผนการมีบุตรและตรวจทารกในครรภ์เสียก่อน

การพบเจอเด็กที่เป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมพันธุกรรมในเด็ก สิ่งสำคัญก็คือ การดูแลและช่วยให้เด็กสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองให้ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายเป็นปกติได้ก็ตาม ซึ่งการรักษาโดยการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ จะช่วยชะลออาการอ่อนแรงลงได้บ้างเท่านั้น ทั้งนี้ การให้ยากับผู้ป่วยก็ขึ้นอยู่กับแนวทางการรักษาและดุลพินิจของแพทย์ นอกจากนี้ การรักษาด้วยยีนบำบัดและยาตัวอื่น ๆ ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย ยังไม่มีผลการวิจัยใด ๆ ออกมา

ทั้งนี้ สามารถทำการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายได้ โดยการออกกำลังกายเบา ๆ ว่ายน้ำ นวดสัมผัส ซึ่งจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อไม่หดเกร็ง เป็นการป้องกันการติดยึดของข้อ นอกจากนี้แล้ว ยังควรหมั่นตรวจสมรรถภาพทางปอดและการทำงานของหัวใจปีละครั้ง เพื่อติดตามและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดตามมาได้

สิ่งสำคัญอีกประการก็คือ สังคมและผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เช่น คุณครูและเพื่อน ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการส่งและเป็นกำลังใจ ผู้ปกครองควรพยายามให้ผู้ป่วยได้ไปโรงเรียน แต่ระมัดระวังการขึ้นบันได และการพลัดตกหกล้มเป็นสำคัญ

ด้านการใช้ชีวิตประจำวันและสิ่งแวดล้อม ควรจัดบ้าน จัดสิ่งแวดล้อมให้สะดวกแก่ผู้ป่วย เช่น ทางเข้าห้องน้ำ ให้ทำเป็นทางลาดเข็นรถนั่งได้ พยายามให้เดินในที่ที่เป็นเนินเล็กน้อยเพื่อป้องกันข้อติด ตะโกนดัง ๆ เพื่อขยายปอด จัดทำที่รองข้อศอกแบบทำเอง เพื่อช่วยในการยกแขนกินอาหารได้เอง ควรมีหมอนหนุนเก้าอี้ เพื่อป้องกันตัวคดงอ กรณีที่เริ่มมีการยึดติดของข้อเข่าและตะโพก ให้ใช้ถุงทรายทับที่ข้อเวลานอนพักหรือหลับ

โรคเก๊าท์คืออะไร



โรคเก๊าท์จัดเป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุดในมนุษย์ โรคนี้เกิดจากความผิดปกติในขบวนการเมตะบอลิสซั่มของกรดยูริกในร่างกาย เป็นผลให้กรดยูริกในเลือดมีค่าสูงกว่าปกติ เกิดการตกตะกอนเป็นผลึกเกลือยูเรต (monosodium urate) สะสมในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะข้อและไต
เมื่อมีอาการแสดงเต็มที่ จะประกอบไปด้วย
  1. อาการข้ออักเสบเฉียบพลัน
  2. โรคข้ออักเสบเรื้อรัง
  3. ทำให้ไตทำงานบกพร่อง
  4. การเกิดนิ่วกรดยูริกในทางเดินปัสสาวะ (uric acid stone)
  5. และการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
ในรายที่เรื้อรังการเกาะของเกลือ monosodium urate จะทำให้เกิดก้อนที่เรียกว่า Tophi ทำให้เกิดการอักเสบของข้อ เนื่องจากมีการเกาะของ เกลือ uric บริเวณข้อ และเอ็นหากเป็นเรื้อรังจะทำให้ข้อผิดรูปและเสียหน้าที่ในการทำงาน นอกจากนั้นยังทำให้หน้าที่ของไตเสื่อมและเกิดโรคนิ่วที่ไตด้วย
โรคเก๊าท์จะหมายถึงภาวะที่มีการเกาะของยูริกที่ข้อทำให้เกิดการอักเสบมีอาการปวด บวมแดงร้อน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าท์อาจจะมีกรดยูริกในเลือดสูงหรือปกติก็ได้ และผู้ที่มีกรดยูริกในเลือดสูงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเก๊าท์เสมอไป โรคเก๊าท์เป็นในผู้ชายมากว่าผู้หญิง 9 เท่าและมักเป็นวัยกลางคนขึ้นไป ส่วนผู้หญิงมักเป็นหลังจากหมดประจำเดือน

สาเเหตุของโรคเก๊าท์
สาเหตุของโรคเก๊าท์เกิดจากการที่มีกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปรกติ ซึ่งสาเหตุที่กรดยูริกสูงได้แก่
1ภาวะที่มีการสร้างกรดยูริกสูง
กรดยูริกในเลือดที่สูงในมนุษย์จะเป็นผลมาจากการที่ขาดยีนในการสลายกรดยูริกแล้ว ยังพบว่ากรดยูริกในร่างกายมนุษย์จะได้มาจาก 2 แหล่ง คือ
  1. จากขบวนการสลายสารพิวรีนในร่างกาย โดยการสลายโปรตีนและได้สารพิวรินออกมา ซึ่งกรดยูริกในร่างกายส่วนใหญ่จะเกิดจากกระบวนการนี้
  2. จากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยรับประสานอาหารที่มีพิวรีนสูง
2การขับกรดยูริกออกจากร่างกายลดลง
กรดยูริกที่สร้างขึ้นจะมีการขับออกจากร่างกาย 2 ทางหลัก คือ
  1. ขับออกทางระบบทางเดินอาหาร และ ซึ่งการขับออกทางระบบทางเดินอาหารจะขับออกได้ประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณกรดยูริกที่ร่างกายสร้างได้ในแต่ละวัน
  2. ขับออกทางไต ส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 เป็นการขับออกทางไต
จากการศึกษาในคนที่เป็นโรคเก๊าท์ จะพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 มีความผิดปกติในการขับกรดยูริกออกทางไต กล่าวคือ ที่ความเข้มข้นของระดับกรดยูริกในเลือดที่เท่ากัน คนที่เป็นโรคเก๊าท์จะมีการขับกรดยูริกออกทางไตได้น้อยกว่าคนปกติที่ไม่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงถึงร้อยละ 40 แสดงว่า ความผิดปกติหลักในผู้ป่วยโรคเก๊าท์อยู่ที่ความผิดปกติในการขับกรดยูริกออกทางไต

อุบัติการณ์ของโรคเก๊าท์
จากการที่พบว่าระดับกรดยูริกในประชากรแต่ละประเทศแตกต่างกัน จึงทำให้พบอุบัติการณ์ของโรคเก๊าท์ แตกต่างกันไปด้วย ประเทศที่มีประชากรมีระดับกรดยูริกในเลือดสูง เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศแถบไมโครนีเซีย หรือหมู่เกาะทะเลใต้ ประชากรจะมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงมาก ทำให้พบอุบัติการณ์ของโรคเก๊าท์พบได้บ่อย และเป็นโรคเก๊าท์ที่มีอาการรุนแรง จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยการติดตามผู้ป่วยที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการจำนวน 2,046 คน เป็นระยะเวลา 15 ปี ทำการตรวจระดับกรดยูริกในเลือดเป็นระยะ พบอุบัติการณ์ของโรคเก๊าท์ร้อยละ 4.9 สำหรับผู้ที่มีระดับกรดยูริกในเลือด 9 มก./ดล. หรือมากกว่า พบอุบัติการณ์ร้อยละ 0.5 สำหรับผู้ที่มีระดับกรดยูริกในเลือดระหว่าง 7-8.9 มก./ดล. และพบอุบัติการณ์เพียงร้อยละ 0.1 สำหรับระดับกรดยูริกในเลือดต่ำกว่า 7.0 มก./ดล. ในประเทศไทยพบความชุกร้อยละ 0.16 ของประชากร โรคเก๊าท์เป็นโรคที่พบบ่อยในเพศชาย อุบัติการณ์ในเพศหญิงพบได้ประมาณร้อยละ 3-7 และมักพบในช่วงวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว

ภาวะที่เกี่ยวข้องกับระดับกรดยูริกแบ่งได้เป็น
  1. Asymptomatic Hyperuricemia หมายถึงภาวะที่มีกรดยูริกในเลือดสูงโดยที่ไม่มีอาการ
  2. Acute GoutyArthritis
  3. IntercriticalGout เป็นช่วงที่หายจากการอักเสบของข้อ ระยะนี้จะปลอดอาการ ระยะนี้เป็นระยะที่หาสาเหตุ และป้องกันการเกิดซ้ำโดยการรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา
  4. Recurrent Gout Arthritis เป็นการที่มีการอักเสบซ้ำของโรคเก๊าท์ ประมาณร้อยละ 80 จะเกิดการอักเสบซ้ำใน 2 ปี จะมีประมาณร้อยละ7 ที่ไม่มีการอักเสบใน 10 ปี
  5. ChronicTophaceous Gout เมื่อโรคเก๊าท์ไม่ได้รักษาผู้ป่วยจะปวดข้อบ่อยขึ้น และปวดนานขึ้น ข้อที่ปวดจะเป็นหลายข้อ บางครั้งอาจจะเกิดอักเสบข้อไหล่ สะโพกและหลัง หากไม่รักษาก็จะเกิดการอักเสบเรื้อรังของข้อมีอาการปวดตลอด ข้อจะเสียหน้าที่และเกิดการตกตะกอนของเกลือ monosodium urate ที่ข้อ หู มือ แขน เข่าตั้งแต่เริ่มเป็นจนเกิด tophi ใช้เวลาประมาณ 10 ปี

อาการ


ตำแหน่งที่ปวด
เริ่มเป็นข้อยังไม่ถูกทำลายหากเป็นนานข้อถูกทำลาย
  1. ปวด บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าเป็นข้อที่พบบ่อยที่สุดจะมีอาการปวดข้อโดยมากปวดข้อเดียวแต่ก็ปวดหลายข้อได้ 
  2. อาการปวดมักเป็นๆหายๆ หรือเรื้อรัง
  3. ข้อที่ปวดพบได้ทุกข้อ แต่พบมากข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ข้อนิ้วและข้อศอก
  4. พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
  5. ในรายที่เป็นมานานอาจพบนิ่วทางเดินปัสสาวะ
  6. มักปวดตอนกลางคืนอาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆมักจะมีปัจจัยกระตุ้นได้แก่การรับประทานอาหารที่มี uric สูง ดื่ม alcohol ผ่าตัด ความเครียด
ข้อที่พบว่าอักเสบได้บ่อยได้แกข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ และข้อศอกเรียงตามลำดับ พบว่าข้อที่เป็นจะบวม แดง กดเจ็บจากรูปจะเห็นข้อนิ้วหัวแม่เท้าบวมและแดง
ในรายที่เป็นเรื้อรังจะมีการรวมตัวของกรดยูริกเกิดเป็นก้อนที่ข้อเรียก Tophi

อาหารที่ควรทานเมื่อทำงานหนัก




ในยุคที่สังคมมีการแข่งขันสูง คนทำงานทั้งหลายต้องตรากตรำกันหนักหน่อย ทั้งประชุม ทั้งเคลียร์งานจนอาจจะลืมรับประทานอาหารกันได้ หรืออาจจะทานอาหารแบบผ่านไปมื้อหนึ่งก่อน จนอาจไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

เพื่อให้เรามีพลังในการทำงานได้อย่างเต็มที่ จึงควรทานอาหารให้ถูกกับสภาพร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ต้องเหน็ดเหนื่อยหรือใช้พลังงานมากกว่าวันปกติยิ่งต้องดูแลให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เพราะคนทำงานมักจะป่วยเล็กๆ น้อยๆ ไม่หาย เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอนั่นเองดังนั้น เรามีคำแนะนำวิธีทานอาหารเพื่อป้องกันอาการป่วยสำหรับคนทำงานหนักทั้งหลายมาฝาก

คนทำงานมักดื่มกาแฟจนติดเป็นนิสัยบางท่านอาจจะดื่มวันละ2-3แก้วด้วยซ้ำ ทำให้มีคาเฟอีนสะสมอยู่ในร่างกายตลอดเช้ายันค่ำ ดังนั้น ถ้าอยากหลับสนิทควรงดดื่มกาแฟชา รวมไปถึงน้ำอัดลมระหว่างวันหรือช่วงบ่าย เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารคาเฟอีนกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและนอนไม่หลับเปลี่ยนมารับประทานกล้วย มันฝรั่งต้ม หรือนมสดอุ่นๆ ในช่วงบ่ายหรือเย็น จะช่วยให้หลับง่ายและสบายยิ่งขึ้น

เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย มักมีสาเหตุจากการขาดธาตุเหล็กอาการนี้เป็นอาการสะสมจึงควรทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรทเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท พาสต้า ถั่ว ผักใบเขียว ผลไม้จำพวกส้ม แตงโม เบอร์รี่ อาหารเหล่านี้ยังย่อยง่ายไม่ทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนัก เป็นจำพวกค่อยๆ ย่อย ค่อยๆ ดูดซึม จึงช่วยลดความเครียดของเราได้อีกทาง

แต่ถ้าเครียดกับงานมาก ทานอาหารไม่เป็นเวลา นาฬิกาทางชีววิทยาอาจปั่นป่วน ทำให้การขับถ่ายไม่เป็นปกติ มีอาการท้องผูกเกิดขึ้น ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2ลิตร และรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้จำพวก ส้ม มะละกอ ลูกพรุน หรือสาหร่าย เม็ดแมงลัก และน้ำผึ้ง

หากคุณมีอาการปวดศีรษะไมเกรนอยู่บ่อยๆ ควรทานเนื้อปลาซึ่งอุดมด้วยกรมไขมันโอเมก้า 3อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4ครั้ง เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือปลาอินทรี หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของหมักดอง อาหารที่มีสารไทรามีน เช่น เนย นม ช็อกโกแลต กล้วยหอม ผงชูรส ผลไม้ตระกูลส้มและมะนาว ชาและกาแฟ


.

ริดสีดวง มีอาการอย่างไร


ริดสีดวงจะมีอาการสำคัญก็คือ การถ่ายอุจจาระออกมาเป็นเลือดสดๆ
ทั้งนี้เนื่องจากการเบ่งถ่ายแรงๆ หัวริดสีดวงทวาร (กลุ่มหลอดเลือดดำขอด)
จะปริแตกออกอาการส่วนมากจะมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก
เป็นเลือดแดงสด เกิดขึ้นขณะถ่ายอุจจาระ อาจสังเกตมีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ หรือปนมากับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลออกเป็นหยดโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างไร บางคนอาจรู้สึกเจ็บที่ทวารหนัก และถ่าย อุจจาระลำบาก หรืออาจมีอาการคันก้น ถ้าริดสีดวงอักเสบ หรือหลุดออกมาข้างนอก อาจทำให้รู้สึกปวดรุนแรง จนถึงกับนั่งยืน
หรือเดินไม่สะดวก และคลำได้ก้อนเนื้อนุ่มๆ สีคล้ำๆ ที่ปากทวารหนัก ถ้ามีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง อาจมีอาการซีดได้


 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Lady Gaga, Salman Khan