กินอย่างไทย...ไม่กลัวมะเร็ง
มะเร็งเป็นอะไร... มันมาจากไหน... ไม่มีใครยืนยันได้...แม้ผู้ที่ใครๆ ยอมรับว่ารู้เรื่องมะเร็งมากที่สุดอย่างแพทย์ หรือนักวิทยาศาสตร์ ชาวบ้านอย่างเราก็ยังงงต่อไปกับมะเร็งเพื่อนตาย ที่ใครได้มันมาอยู่ร่วมกายด้วยคงมีโอกาสรอดยาก มะเร็งเป็นเพื่อนตายจริงๆ หากใครโชคร้ายได้มันเป็นเพื่อนแล้ว
เหตุที่มาของมะเร็ง แม้ไม่มีใครยืนยัน แต่วันนี้ถือว่ามีความชัดเจนขึ้นมาก ไม่ยากเลย...พฤติกรรมมนุษย์ที่เปลี่ยนไปตามความเจริญทางวัตถุ คือเหตุก่อมะเร็งแน่นอน
องค์การอนามัยโลกยอมรับอย่างน่าชื่นตาบาน ถึงความเจ็บป่วยของคน...เรื่องกินคือปัญหา ไม่ว่าโรคอะไรล้วนได้รับจากอาหารเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงมะเร็งด้วย
อาหารเป็นสาเหตุก่อมะเร็ง แม้ในทางการแพทย์ยังกลัวๆ กล้าๆ ไม่ยืนยันก็ตาม แต่พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากการที่มนุษย์หันไปกินอาหารจากขบวนการทางอุตสาหกรรม ด้วยเหตุผลด้านความสะดวกสบาย และชื่นชอบในความเอร็ดอร่อยจอมปลอม โดยไปหลงกลการตลาด แน่นอนว่าโรคภัยเจ็บจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาเริ่มห้ามโรงเรียนจำหน่ายน้ำอัดลม เพราะเด็กอเมริกันมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน เมืองไทยเราก็เริ่มมีการนำร่องเรื่องนี้ไปแล้ว
ความหวานจากน้ำตาล สร้างปัญหาต่อน้ำหนัก นานวันเข้าเส้นเลือดต้องตีบตัน เป็นเบาหวาน ตับต้องทำงานหนักจนกรองของเสียไม่ไหวท้ายสุดเป็นมะเร็ง
ในสหรัฐอเมริกา มีการวิพากษ์กล่าวโทษภาคอุตสาหกรรมอาหารรุนแรงขึ้นทุกวัน น้ำอัดลมเป็นจำเลยรายแรก แล้วตามมาด้วยอาหารขยะกลุ่มจานด่วนป่วนเมือง รวมถึงการใช้สารเคมีต่างๆ ในภาคเกษตร เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง สารเร่งเนื้อสำหรับสัตว์อย่างหมู ไก่ การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างมักง่ายของปศุสัตว์
ผู้ค้าร่ำรวย คนซวยคือผู้บริโภค...
แม้จะมีการต่อสู้จากคนกลุ่มหนึ่งซึ่งรักสุขภาพ แต่คนกลุ่มใหญ่ของโลกยังไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องนี้อยู่ดี และผู้ที่สู้ก็ยอมรับว่าทุกวันพวกเขาก็ยังต้องกินเนื้อหมูใส่สารเร่งเนื้อแดง กินผักที่ยังปนเปื้อน เพราะไม่รู้จะหลบเลี่ยงอย่างไร
ทำไมจึงยังสงสัย ไม่มีใครกล้ายันถึงปัญหาของความเจ็บป่วย ว่าอาหารนั้นคือตัวการ โดยเฉพาะมะเร็ง เมื่อยังเกรงใจใช้คำว่า อาจจะ พวกศรีธนญชัยก็เลี่ยงบาลีได้ว่าไม่มีการยืนยัน เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น...เมื่อเป็นดังนี้ อาหารที่เราต้องกินทุกวัน จึงไม่จำเป็นต้องควบคุมอะไร เพียงแค่สร้างภาพออกมาให้ผู้บริโภคพยายามระมัดระวังตนเอง หลีกเลี่ยงตามคำเตือน โดยหน่วยงานรัฐซึ่งต้องรับผิดชอบก็ถือว่าได้ทำตามหน้าที่แล้ว
การเตือนด้วยคำว่า อาจจะ จึงมีนัยหมายถึงการยอมรับว่าเป็นความจริงแต่รับไม่หมด ในฐานะประชาชนตาดำๆ จึงต้องชั่งใจในข้อมูลข่าวสารต่างๆ ต้องสร้างระบบประมวลผลให้ตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ชาวอเมริกันในบางรัฐเริ่มหูตาสว่างกับอาหารอุตสาหกรรมที่ได้รับมาตรฐานเพียบ ทั้งความสะอาดของโรงงาน วัตถุดิบที่นำมาใช้ แม้แต่เครื่องแบบที่ใช้ยังมีการฆ่าเชื้อ แต่ทำไมมนุษย์ยังกินอาหารปนเปื้อนทุกวัน...และเริ่มมีการฟ้องร้องกันแล้ว ส่วนใครฟ้องใคร ใครแพ้ใครชนะคงไม่ต้องพูด
คนไทยหันมามองตัวเองหน่อย ว่าเราหันไปกินอาหารจากภาคอุตสาหกรรมอย่างคนอเมริกันมากน้อยแค่ไหน...แน่นอนว่าเราตามเขาไปนานแล้ว ตั้งแต่ข้าวเราก็ใช้ทั้งปุ๋ยทั้งยาฯ หมู ไก่ มันก็โตด้วยสารเคมี ผัก ผลไม้อีก บรรยายไม่หมด
แน่นอนว่า หากพฤติการณ์การกินยังไม่เปลี่ยน ภาคการผลิตยังไม่ปรับ คนไทยต้องป่วยตามฝรั่ง และตัวเลขของผู้ป่วยมะเร็งต้องเพิ่มขึ้นทุกวัน...แต่เราก็ยังไม่ถึงทางตันเหมือนฝรั่ง วันนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้ทันฝรั่ง
พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่เกี่ยวข้องในกระบวนการทางอุตสาหกรรม
โชคของเรายังมี แม้การเกษตรจะก้าวตามความต้องการของตลาด ไปเน้นปริมาณ แต่เราก็ยังมีพื้นที่ซึ่งไม่เสียหาย และภาคการผลิตเกษตรอินทรีย์เริ่มกลับมา...นี่แหละคือทางรอด
อาจเป็นจุดอิ่มตัวของเกษตรเคมีแล้วก็เป็นไปได้...น่าดีใจที่ชาวนาไทยเริ่มปลูกข้าวอินทรีย์ มีการขยายพื้นที่มากขึ้น ข้าวอินทรีย์กำลังได้รับความนิยม...นี่ก็ชัดเจนในหนทางรอด เพราะข้าวคืออาหารหลักที่คนไทยกินทุกวัน รวมถึงคนอีกราว 4 พันล้านทั้งโลก ลองคิดดูสิว่า หากใครต่อใครยังกินข้าวปนเปื้อนสารเคมี โอกาสรอดความเจ็บป่วยและจากมะเร็งมันจะมีสักเท่าไร
หากเราหันมากินข้าวอินทรีย์ ทั้งยังกินข้าวกล้องหรือข้าวแดง ข้าวชนิดนี้คือยา...เพราะข้าวกล้องอุดมด้วยธาตุอาหารซึ่งคือสารตั้งต้นที่ร่างกายต้องใช้ โดยเฉพาะธาตุอาหารที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหรือสมอง
ข้าวช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กระดูก สร้างเม็ดเลือด มีกากไยสูง ลดน้ำตาล ไขมันในหลอดเลือด...อื่นๆ อีกมากมายที่เป็นคุณสมบัติของข้าวกล้อง เมื่อระบบต่างๆ ที่กล่าวมามีการสร้างเสริมอย่างเป็นระบบ แล้วจะป่วยได้อย่างไร มะเร็งมันกลัวความแข็งแรงของร่างกาย
เรามีข้าวดี...มีอาหารในชีวิตประจำวันกินคู่กับข้าว มันเพิ่มความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างน้ำพริกกะปิ มีผักต่างๆ เมนูเด็ด...นี่คือยาที่ได้จากอาหาร ในกะปิมีทั้งโปรตีนและแคลเซียมธรรมชาติเข้มข้น น้ำพริกจึงไม่ต้องกินมากแค่จิ้มๆ จกๆ ก็พอ...ผักต่างๆ ในหนึ่งจาน อาจประกอบด้วย ผักบุ้ง กระเจี๊ยบมอญ ฟักทอง บวบ...ฯลฯ กินอย่างนี้คนไทยไม่ขาดสารอาหารแน่นอน...เสริมอีกสักหนึ่งอย่าง มีแกงเลียงด้วย
แกงเลียงเป็นอาหารที่มีงานวิจัยรองรับ...ใครมีปัญหาด้านโภชนาการ ให้กินแกงเลียงบ่อยๆ ไม่ต้องเสียค่าโง่ซื้ออาหารเสริมมากิน...ในแกงเลียงมี กะปิ บอกสรรพคุณไปแล้วจากน้ำพริก...กุ้งแห้งมีทั้งแคลเซียม ไอโอดีน...หอมแดง มีแคลเซียมเยอะ ช่วยขับลม หมายถึงว่าระบบการไหวเวียนของเลือดมีตัวช่วยใน
การกระตุ้น ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายได้รับสารอาหารและพลังงานเต็มที่
มาดูผักต่างๆ ในแกงเลียง... ผักสำหรับใช้ในแกงเลียง โบราณท่านไม่จำกัดว่าต้องเป็นผักอะไร แกงเลียงเป็นแกงอิสระสามารถทำได้อย่างไร้เงื่อนไข แต่หากให้เป็นมาตรฐาน แกงเลียงต้องมีบวบ...บวบเป็นผักมีสารอาหารครอบจักรวาล...ฟักทองมีเบต้าแคโรทีน ช่วยต้านมะเร็งชัดเจน ทั้งยังเป็นโปรวิตามินเอ หมายถึงว่า เบต้าแคโรทีนสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ส่วนหนึ่ง เมื่อได้รับไขมัน วิตามินเอช่วยให้ดวงตาสวยไส ป้องกันสารพัดต้อ
แกงเลียงต้องมีใบแมงลัก...ใบแมงลักช่วยไม่ให้ท้องอืด มันช่วยในระบบย่อยของกระเพาะอาหาร ใบแมงลักมีคุณสมบัติรักษาความเป็น กรดในกระเพาะอาหารให้คงที่ ระบบย่อยจึงไร้ปัญหา กระเพาะอาหารจะแข็งแรงมาก โอกาสความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะจึงไร้กังวล
แกงเลียงสมัยใหม่ใส่ข้าวโพดอ่อนด้วย ข้าวโพดเป็นธัญพืชซึ่งไม่ผ่านการขัดสี คุณสมบัติของข้าวโพดจึงไม่ต่างจากข้าวกล้อง ข้าวโพดจะมีตัวช่วยย่อยสารอาหารในกระบวนการสุดท้ายเพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เต็มที่ มีวิตามินอีต้านความชรา หมายถึงว่า เซลล์เก่าจะถูกผลัดทิ้ง เซลล์มะเร็งถูกกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาหารไทยจึงเป็นเป็นยาโดยปริยาย กินทุกวันร่างกายย่อมมีภูมิต้านทานโรค ทั้งขบวนการของอาหารไทย หากเราหลีกเลี่ยงใช้วัตถุดิบที่ผ่านจากภาคอุตสาหกรรมยิ่งปลอดภัยแน่นอน...วันนี้คนรุนใหม่อยู่ในภาวะเสี่ยงของมะเร็ง เพราะกินอาหารจากอุตสาหกรรม เด็กๆ ชอบกินขนมถุง ชอบสั่งอาหารขยะที่ดูโก้เก๋มากินที่บ้าน...หยุดมันเถอะ...มากินอย่างไทย เรามีอาหารมากมายต้านโรคได้
แกงป่า...น้ำยาใต้ อาหารไทยทุกชนิดของเผ็ดร้อนนี่แหละ...คือยอดอาหารต้านโรค เอาไว้โอกาสหน้าจะนำเสนอ...แล้วคุณจะเข้าใจและรักอาหารไทย หากยังสงสัยว่าในชีวิตประจำวันจะต้องกินอะไรให้ปลอดโรค
ข้อมูลดีๆ จาก : สสส.